May 20, 2012

ภูกระดึ่ง ดึง ดึ๋้ง สองวันหนึ่งคืน

เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่ทราบที่ความตั้งใจที่จะไปพิชิตภูกระดึงผุดขึ้นมาในหัว

ผมได้ยินชื่อภูกระดึงครั้งแรกก็ราวๆ มัธยมต้นโน่น ซึ่งนั่นก็นานมากแล้ว

ที่นี่ถูกกล่าวขานว่า ไปลำบาก เดินขึ้นเขากันเป็นวันๆ 

บางคนเดินไม่ไหว ถึงกับท้อและหันหลังกลับระหว่างทางก็มี



นั่นคือสิ่งที่ผมได้ยินมา จริงแท้อย่างไรผมเองยังไม่เคยนึกอยากพิสูจน์

ด้วยเพราะไม่คิดว่าความสุขของการพักผ่อนคือความลำบากลำบนปีนเขา เข้าป่าแบบนั้น

ยังคิดด้วยซ้ำว่า เออ โง่ หรือ บ้า วะ อยากพักผ่อนแต่ดันปีนภู

แต่ด้วยเป็นที่ๆ หลายๆ คนบอกว่าน่าขึ้นไป และมีจุดถ่ายรูปสวยเยอะ

บางคนก็ขึ้นกันปีล่ะสองครั้ง (อะไรจะขนาดนั้น) 

พอทราบแบบนั้นเข้า ผมก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้น มันมีดีขนาดนั้นเชียว

ต้องลุยแล้วล่ะแบบนี้



ทริปนี้วางแผนกันมาตั้งแต่ ปลายปี 2011 แต่ด้วยความที่ตั้งใจจะไปกันกลุ่มใหญ่

รอกันไปรอกันมาสุดท้ายจึงได้แต่รอ (เหมือนดังเช่นทุกทริป)

เอาล่ะแผนขยับมาจนเริ่มเข้าสู่ปลายหนาว คือปลายเดือน มกราคม 2012

ไม่ไหวล่ะ ต้องปีน ต้องขึ้นล่ะ ช้ากว่านี้จะไม่คุ้มกับค่าความเหนื่อย และบรรยากาศที่จะเห็น

วันที่ 28 มกราคม 2012 เราจึงได้ขึ้นภูกระดึงกัน





พลพรรคในทริปนี้ มีสี่คน ชายล้วน





มื้อแรกของวันก่อนจะขึ้นภูกระดึง มื้อนี้จะพลาดไม่ได้ เพราะเราต้องเดินกันไกลพอตัวเลย





ทานเรียบร้อยก็ต่อแถวเพื่อฝากสัมภาระ เราเอาของมารวมๆ กัน แล้วช่างได้ทั้งหมด เก้ากิโลกรัม

ผมจำไม่ได้แล้วว่าคิดกิโลกรัมล่ะเท่าไหร่ น่าจะประมาณกิโลกรัมล่ะสิบห้าบาท





ผมพกติดหลังไป น่าจะราวๆ ห้ากิโลกรัม หนักเอาเรื่อง





กราบพระขอให้เราขึ้นและลงปลอดภัย











พร้อมกันแล้ว





จุดหมายแรกของเรา...







ขึ้นและขึ้นและขึ้น เราเดินขึ้นตอนเสียงเคารพธงชาติ ช่วงเวลาแปดโมงเช้าพอดี







ความแห้งแร้งของป่าไผ่ ผสานกับความเย็นของอากาศฤดูหนาว ทำให้เราไม่เหงื่อออก

และยังเดินต่อไปได้เรื่อยๆ





ใครอยากจะขึ้นภูกระดึงบ้าง ก็ลองเดินขึ้นลงบันไดที่ ออฟฟิต ไปก่อนก็น่าจะดีนะ





ถึง "ปางกกค่า" แล้ว





โอ้ว จุดแรกเองนี่นา





เทียบระดับน้ำทะเล... เริ่มเข้าสู่การ "ปีน"





กลับกันเลยไหม ยังทันนะ!





"ซำแฮก" เหนื่อยจริงๆ เพราะมันชันมาก





ขอเก็บวิวรอบๆ พร้อมกับพักเหนื่อยไปในตัว





ไม่มีจุดให้ถ่ายมากนัก ออกแนวธรรมดา คงต้องเดินต่อไปอีก





ถ่ายกับป้ายซะหน่อย ปล. เอาขาตั้งกล้องมา





พักกันราวๆ ยี่สิบนาที ก็ออกเดินต่อ (เราไม่เน้นทำเวลา เก็บภาพไปเรื่อยๆ ครับ)









ระหว่างทางเจอความ "ไม่" เป็นธรรมชาติ อยู่เป็นหย่อมๆ





ผ่าน "ซำแฮก" ไปไม่นาน







ถึง "ซำบอน" ไม่มีจุดพัก เราต้องเดินกันต่อไป





เดินมา สองกิโลเมตร แต่รู้สึกโคตรไกลเลย







ผ่าน "ซำกกกอก" เริ่มมีอการหอบให้เห็นแล้ว





มายังอีกจุด เราพักดื่มน้ำกันที่ "ซำกอซาง"





ดูแผนที่อีกครั้ง จุดหินๆ กำลังจะมาเยือน





เดินขึ้นมาไม่ไกลนักก็ผ่าน "พร่านพรานแป"





จากจุดนี้ไป เริ่มเป็นป่าซะเยอะ ไม่ค่อยจะโดนแสงแดดเท่าไหร่ เลยไม่ร้อน





ถึง "ซำกกหว้า" 

กระเป๋ากล้องด้านหลังเริ่มหนัก เริ่มขอให้เพื่อนๆ ช่วยแบกขาตั้งกล้อง 

ส่วนรูปก็ถ่ายน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด





ผมเลือกจะเดินจุดที่ไม่เป็นบันได เพราะยกขาเริ่มไม่ไหว





จุดนี้เป็นป่าไผ่ สิ่งที่เป็นที่ระลึกของผู้มาเยือนก็มีให้เห็นเป็นระยะๆ









"ซำกกไผ่" พื้นที่ๆ กอไผ่เยอะมาก







ตามทาง "ลูกหาบ" ก็เริ่มสวนมาเป็นระยะๆ จากด้านบน









"ซำกกโดน" จุดพักอีกที่ รอบนี้ เที่ยงกว่าๆ แล้ว เดินมาสามชั่วโมง ขาเริ่มล้า





จัดชุดใหญ่ ก่อนขึ้นภูต่อ





ยี่สิบนาทีต่อมา เรามาถึง "ซำแคร่"





ที่ปักป้าย "ด่านช้าง" นี่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะสื่อว่าอะไร







มีแต่หินก้อนใหญ่ๆ







ถ้าเห็นลูกหาบ ก็หลบให้พี่ๆ เขาหน่อยนะครับ









ถึง "หลังแป" แล้ว





เหมือนแรงจะเหลือ





เราเช่าจักรยาน ปั่นมายังอีกจุดหนึ่ง




วิวตรงหน้าสวยมาก จนผมไปยืนแกว่งเท้าเล่นริมผา ให้ลมปะทะร่าง

มันสุดยอดจริงๆ





ต่างคนต่างหาจุดถ่ายรูป











ผมเองก็ขอบ้าง





เราพักทานข้าวกันจุดนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง มองฟ้าเบื้องบน ไม่เห็นแสงอาทิตย์เลย

ลางไม่ดีซะแล้ว คงต้องรีบทาน รีบกลับ ซึ่งระหว่างทางก็กราบพระด้านบนซะหน่อย

เมื่อถึงจุดกางเต๊นท์ ก็รีบจัดแจงวางของ และไปเช่าจักรยานอีกรอบ เพื่อจะไปยังจุดชมวิวที่เหลือ





เวลานี้ บ่ายสามโมงแล้ว เราอาจจะไม่ได้เห็นบรรยากาศอาทิตย์ตกดิน







ฝนเริ่มโปรยปราย ลงมาบ้าง แต่ก็ไม่มีผลอะไรกับเรา







ผ่านผานั้น ผานี้ จำชื่อไม่หมดครับ เยอะมาก





เพื่อนคนนึงถึงกับหลับ ซะริมผาเลย - -'







ผาเหยียบเมฆ ผาสุดท้ายที่เราไป จริงๆ มันมีอีกจุดแต่มันเริ่มจะมืดแล้ว เลยเลือกที่จะหยุดกันที่นี่

สรุปก็คือไม่ได้ภาพพระอาทิตย์ตก เพราะเมฆเยอะเกินไป บังมิดเลย






มื้อดึก เนื้อย่าง









กลิ่นหอม ไอร้อนฟุ้ง แต่สุกไม่ทันใจ คนหิวสี่คน





คืนนั้น อากาศเย็น ตั้งใจจะไม่อาบน้ำแล้วล่ะ แต่มันเหนียวๆ ตัว

เลยไปวิ่งผ่านน้ำซะหน่อย ฟักบัวที่นี่ก็ไม่มีหัว เปิดไหลที ต้องบังคับตัวเองดีๆ ให้น้ำมันโดน

กลั้นใจอยู่ราว สิบนาที ถึงโดนน้ำ คิดแล้วตลกมาก แต่อาบเสร็จก็หายหนาว

เพียงแต่เวลาพูดอะไรออกมา ไอร้อนจะลมหายใจเรา ก็ฟุ้งๆ เหมือนในหนังเกาหลี

แสดงว่าอากาศมันเย็นจริง แต่ร่างกายมันคงปรับตัวได้





ตีห้า... ของอีกวัน

ปลุกกันเพื่อไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้น 

คาดหวังว่าจะได้สักภาพไปอวดเพื่อนๆ ที่ไม่ได้มา





การรอคอยยังดำเนินต่อไป







ความสว่างบนท้องฟ้ายิ่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นจำนวนคนที่มารอมากขึ้นเท่านั้น





ท้ายที่สุดเราก็ไม่ได้เห็นครับ...





แวะเดินกลับมาอีกทางเพื่อไหว้พระ





ถึงจุดกางเต๊นท์ เราก็ทานข้าวกันซะหน่อย เพื่อจะได้ลงทันเวลา





เก้าโมงนิดๆ เราก็เดินทางลง









ขาลงไม่เหนื่อย สบายๆ เป็นวันที่ฟ้าสีตุ่นๆ 

คิดวางแผนรอบหน้า เดือนตุลาคม ต้องมาอีกแน่

สรุปทริปนี้ เน้นเหนื่อยอย่างเดียว วิวไม่สวยอย่างที่หวังนัก

ในช่วงที่ป่าชุ่มชื้น เราจะกลับมาเยือน และอยู่ให้นานกว่านี้หน่อย

แล้วเจอกัน ภูกระดึง

Blog Comment

บทความที่ได้รับความนิยม