May 29, 2011

เที่ยวเมืองคอน (นครศรีธรรมราช) 1/3

ในช่วงวันที่ 1 เดือนพฤษภาคม 2554 ที่พึ่งผ่านมา

ผมได้มีโอกาศร่วมทริปของสื่อสารมวลชน

และกลุ่มผู้ประกอบการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

ไปร่วมกันสังเกตการณ์พื้นที่ประสบปัญหาสึนามิ

รวมถึงน้ำป่าไหลหลากที่นพพิตำ นครศรีธรรมราช


งานนี้จุดประสงค์หลักคือการเข้าไปดูและสัมผัสพื้นที่จริงๆ

ว่ายังสามารถเที่ยวกันได้อยู่หรือไม่ เนื่องจากข่าวกระแสต่างๆ ที่ออกมา

กระทบกับการท่องเที่ยวอย่างจัง เกิดผลให้พี่น้องที่ทำงานเกี่ยวกับ

การท่องเที่ยวในย่านนี้ขาดรายได้ เพราะนักท่องเที่ยวต่างเปลี่ยนไปเที่ยวที่อื่นแทน


ผมขอเชิญทุกท่านร่วมอ่านและติดตามไปด้วยกัน

ว่าหลังจากภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้นและผ่านไป

ชาวบ้านเขาดำเนินชีวิตอย่างไร


ในทริปนี้เที่ยวทั้งหมดสามวันสองคืน

ไปกันรถทัวร์สองคัน ร่วมร้อยชีวิตได้

ทั้งยังมีไกด์มืออาชีพที่จะพาเราเที่ยวเต็มกำลัง

เหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเล่าให้ฟังอาจจะไม่ครบถ้วนเท่าไหร่

เพราะมาเขียนย้อนหลังในขณะที่ไปมานานประมาณสามเดือน

แต่จะพยายามเล่าให้ได้ใกล้เคียงที่สุด


สองทุ่มวันศุกร์เราเริ่มออกเดินทาง จากจุดรวมที่ปั๊มน้ำมันตรงข้าม บ.ฐานเศษฐกิจ

มีกิจกรรมบนรถ แนะนำตัวกันนิดหน่อย พร้อมกับแนะนำกิจการที่ตนเองทำอยู่

ช่วงเวลานี้ไม่ค่อยรื่นรมณ์ สำหรับผมเท่าไหร่เพราะเหนื่อยจากการทำงานในช่วงกลางวัน

พร้อมจะปิดตานอนไปตื่น ณ จุดหมายเพียงอย่างเดียว


ระหว่างทางฝนยังตกเปาะแปะ เป็นระยะ

ผมมองดูกระจกที่เปื้อนน้ำฝน หยดใหญ่ๆ ค่อยๆ ไหลเคลื่อนตัวไปตามแรงรถ

ไฟรถทัวร์ ดับลง นั่งมองนั่นโน่นนี่ไปซักผัก ก็หลับ


รุ่งเช้ามาถึง เราถึงนครศรีธรรมราชเป็นที่แรก

บรรยากาศอึมครึม เพราะอยู่ในช่วงพายุเข้าพอดี

ทุกคนต่างย้ายตนเองไป ล้างหน้าล้างตา ตามบริเวณที่เจ้าภาพจัดเอาไว้

เจ้าภาพวันนี้คือท่านผู้ว่า นครศรีธรรมราช มีขนมและอาหารพื้นเมือง

ซึ่งผมเองก็พึ่งจะเคยเห็นนี่แหล่ะ รสชาติโดยรวมก็อร่อยดี

จุดที่เราจอดรถกันคือ พิพิธภัณฑ์ บ้านท่านขุน นครศรีธรรมราช



พิพิธภัณฑ์ บ้านท่านขุน นครศรีธรรมราช


หน้าตาขนมที่เจ้าภาพเตรียมไว้


อีกภาพ


ช่วงเวลานั้น ก็มีการกล่าวต้อนรับและแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวจากท่านผู้ว่า

คุยกันเสร็จสรรพ ก็เดินกันไปวัดมหาธาตุ ซึ่งอยู่เยื้องๆ กันนั่นแหล่ะ

จังหวะแรกที่เข้าไปก็แอบอึ้งๆ เหมือนกันว่าทำไมช่างใหญ่โตเสียจริง

ยิ่งไปรู้ทีหลังว่า เป็น Unseen Thailand ด้วย สงสัยไหมว่าเพราะอะไร



เจดีย์วัดมหาธาตุ

เฉลยเลยล่ะกัน ที่เป็น Unseen Thailand เพราะว่า

ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดก็ตาม เจดีย์วัดมหาธาตุ จะไม่มีเงาปรากฏให้เห็น

(ได้ยินครั้งแรกคิดในใจ โอ้ววว จริงหรือนี่)

ผมเดินถ่ายรูป เก็บบรรยากาศไปเรื่อย จนหลงเข้ามาภายในคนเดียว

เก็บภาพเล็กๆ น้อยๆ และจุดที่สังเกตได้คือ องค์พระที่ทำขึ้น

มีรูปลักษณ์คล้ายๆ ตัวละครในหนังตะลุง (ไม่ได้ถ่ายมา เพราะข้างในมืดมาก)



ด้านในเจดีย์ ถ่ายมาไม่กี่ภาพ

ในขณะนั้น ก็มีเพื่อนเรียกให้ไปร่วมกันเปลี่ยนผ้าเจดีย์ (เรียกไม่ถูก)

มีคนต่อแถวกันยาวเหยียด ก็ร่วมกันไปกับกลุ่มมาเลเซีย เป็นสองผืนยาวๆ

ไม่ทันไร ฝนเริ่มลงเม็ดเล็กๆ แต่พิธีการก็ยังดำเนินต่อไป

เมื่อพิธีการเสร็จสิ้น ผมเม็ดโตๆ ก็เริ่มร่วงหล่นลงมาจากฟ้า

พวกเราก็ต่างวิ่งหลบฝนกันจ้าล่ะหวั่น ก็สนุกดี



นักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย


กลุ่มของเรา


เสร็จเรียบร้อย


เราออกเดินทางต่อจากวัดมหาธาตุ มุ่งตรงไปยังจุดที่เรียกได้ว่า ย่ำแย่

ที่นี่มีคนสูญเสีย ทั้งบ้าน ครอบครัว และแหล่งทำมาหากิน

นพพิตำ ตำบลหนึ่งในนครศรีธรรมราช เรากำลังไปที่นั่น

ซึ่งจุดนั้นมีรีสอร์ท หนำไพรวัลย์ คอยดูแลพวกเราและเป็นจุดไปฝากท้องมื้อเที่ยง

ระหว่างทางเจอหนทางไม่สู้ดีนัก เพราะยังอยู่ระหว่างปรับปรุง

ได้เห็นร่องรอยของอานุภาพของธรรมชาติ แล้วก็กลัวอยู่ลึกๆ









ไม่แปลกใจที่บ้านทั้งหลังหายไปในคืนเดียว


อินเตอร์เน็ตเริ่มส่อ อาการไม่ดี ขอเขียนแค่นี้ก่อน

ครั้งหน้ามาต่อกันที่ นพพิตำ และเหตุการณ์ ล่องแก่ง ที่ทำผมแทบจมน้ำตาย

May 8, 2011

Three J Guest House กำแพงเพชร (2/2)

จากที่เขียนไปรอบที่แล้วมาต่อกับตอนจบ
หลังจากที่สลบเหมือดไปเพราะแอลกอฮอล์และอากาศดีๆ ของบ้านสวน
ผมก็ตื่นมาอีกทีในตอนตีห้าครึ่ง และรีบปลุกเพื่อนในกลุ่มให้ตื่นมารอดูพระอาทิตย์ขึ้น



แต่อย่างว่าแหล่ะครับ อากาศมันเย็นมาก น่านอนเป็นที่สุดใครจะลุกขึ้นมาล่ะ
ผมนั่งหาดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่เห็นแต่ดาวเหนือที่ส่องแสงอยู่ไกลๆ
ผมจัดแจงมุมดีๆ พร้อมกล้องส่วนตัวมาบันทึกภาพเอาไว้อวดคนขี้เซาทั้งหลายในตอนเช้า




นั่งสัปหงก พร้อมอาการสั่นน้อยๆ เพราะลมพัดมาแต่ละทีเย็นไปถึงสันหลัง
รอไปครึ่งชั่วโมงแสงจากท้องฟ้าเริ่มสว่างและสะท้อนลงมาบนพื้นสวน
จนทำให้เห็นภาพสวนได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ




แล้วดวงอาทิตย์ก็โผล่มาอวดโฉม สีส้มนวลมาแต่ไกล
นึกถึง Intro รายการทุ่งแสงตะวันขึ้นมาซะงั้น (คงเกิดทันดูรายการนี้กันนะ)




จากท้องฟ้าสีนวลก่อนหน้านี้ บัดนี้ตกอยู่ในโทนสีส้มด้วยฤทธิ์ของแสงตะวันยามเช้า




เห็นแสงตะวันสะท้อนกับน้ำในอ่างเก็บน้ำเบื้องหน้า
ทำให้ต้องรีบก้าวออกไปนอกตัวบ้านเพื่อไปเก็บภาพที่ริมน้ำ




ผมเดินไปจนถึงรั้วกั้นเขตของคุณลุงชรินทร์เจ้าของบ้านสวนหลังนี้
แต่ก็ข้ามไปฝั่งของริมน้ำไม่ได้ เดินกลับมาอีกทีก็เจอคุณลุงเดินมาพอดี




คุณลุงเล่าเรื่องที่มาที่ไปของบ้านสวนหลังนี้ พร้อมๆ กับเด็ดชมพู่จากต้นให้ผมทาน
นั่นเป็นความประทับใจแรกที่ผมได้รับจากที่นี่




ลุงชรินทร์พาเดินชมสวน เล่าแต่ล่ะส่วนประหนึ่งว่าผมจะมาลงทุนกับแก
ผมก็เคลิ้มนะฟังแกเล่าเนี่ย และก็คิดภาพตามแกได้เป็นการ์ตูนเลยล่ะ
บางพื้นที่แกเล่าว่ากางเต็นท์นอนดูดาวในช่วงฤดูหนาวก็โอเค... ผมว่าไม่ต้องหนาวก็ได้
นี่ขนาดช่วงเมษายนที่ว่าร้อนกันสุดๆ เนี่ย ตกดึกยังเล่นเอาผมสั่นเลย




เอ้อ ลุงเล่าว่าตอนหน้าหนาวที่นี่อากาศเย็นมากอยู่ที่ประมาณ 16 องศาเลยแหน่ะ
แต่คนเราก็นะ ชอบอะไรที่ทรมาณตนเอง ก็แย่งกันมาหนาวกันทุกปี




ตื่นเช้า... เอ๊ะ ไม่เช้าแล้ว เกือบสิบโมงเช้า สาวๆ ตื่นกันเต็มที่
ก็เข้าครัวทำอาหารกัน ผมก็นั่งมองอยู่ห่างๆ ว่าจะได้ทานอะไร




ต้มน้ำให้เดือด... โยนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลงไป.... ผัดๆๆๆๆ...
บูมมมมม กลายเป็น!!!!! ผัดมาม่า




เรียบร้อย มื้อนี้เราไม่อดล่ะ




ทานข้าวเสร็จ คุณลุงชรินทร์พามาดูรูแมงมุงยักษ์ที่ติดมากับฝรั่ง (เรียกชื่อไม่ถูก)
และก็ได้เวลาต้องบอกลาบ้านสวน เราก็เก็บข้าวของขึ้นรถไปเที่ยวต่อที่บ้านต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ กัน










บ้านต้นไม้จริงๆ แล้วสร้างขึ้นด้วยปูนทั้งหมด ลุงเล่าว่าไม่อยากไปตัดไม้มาทำ
จึงใช้ปูนแต่งลายให้คล้ายต้นไม้แบบนี้ อีกอย่างก็เพื่อความแข็งแรงด้วย




ก่อนออกเดินทางต่อ คุณลุงสอยลำใยที่ปลูกไว้มาให้ชิม หวานเจี๊ยบ อร่อยติดใจจริงๆ




ออกจากบ้านต้นไม้ มุ่งตรงมายังวัดถ้ำประกายแก้ว




ทางขึ้นก็มีผาดโผนเล็กๆ น้อยๆ แต่เดินมากๆ ก็เหงื่อออกเหมือนกัน




นี่ผมเอง หอบแฮกๆ อยู่แต่หน้าคอม นานๆ ทีมาเดินป่าแบบนี้อาการเลยออก






เข้ามาถึงแล้ว มืดมาก ต้องฉายแฟรต จุดเทียนกัน




นี่แหล่ะครับเป็นประกายสวยเชียว




ก่อนกลับลงมาก็ถ่ายปากถ้ำ เก็บไว้ในความทรงจำ






เดินทางต่อไปยังน้ำตกธรรมชาติ ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านกระเหรี่ยง




ฝนตกลงมาพอดีเลยไม่ได้ลงเล่นน้ำ ซึ่งก็เพราะกลัวกล้องเปียกฝนด้วย
จึงรีบออกเดินทางกลับ ห้องพัก แต่ยังไว้ลายขึ้นกะบะแล้วเล่นสงกรานต์ระหว่างทาง




ถึงห้องพักแบบสั่นๆ เพราะโดนสารพัดน้ำสาดเข้ามา
ผมคงเกินวัยจะมาทำอะไรแบบนี้แล้วจริงๆ จามไปตามทาง
เพราะแพ้อากาศเป็นทุนอยู่แล้ว แต่ไม่เป็นไรเมื่อถึงที่พัก
อาบน้ำแต่งตัว ไปจัดเต็มเนื้อย่างเกาหลี แถวๆ ห้องพักก็อาการดีขึ้น




สี่ทุ่มนิดๆ เช่ามอเตอร์ไซต์ ออกไปร่อนรับลมเย็นๆ ในตัวเมืองกำแพงเพชร
ยาวไปจนถึงริมแม่น้ำปิง พวกเรานั่งฟังเพลงจากร้านอาหารอีกฝั่งก็เพลินไปช่วงเวลาหนึ่ง
ก่อนจะแว๊บเข้าไปฟังเพลงที่ร้านดนตรีสดแห่งหนึ่ง แต่อาการง่วงเริ่มออก
พอๆ กับตอนนี้เหลือบมองดูเวลาก็ตีสี่ครึ่งจวนจะตีห้าแล้ว
หาวหวอดๆ ลาไปด้วยรูปนี้เลยนะ แล้วพบกันทริปหน้า ; )

ไหว้พระที่กำแพงเพชร (1/2)

ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปทำบุญร่วมกับเพื่อนในกลุ่มที่จังหวัดกำแพงเพชร
เป็นการทำบุญถวายหนังสือพระไตรปิฏก ให้ภิกษุและผู้คนที่ใคร่จะศึกษาได้มาเปิดอ่านกัน
เนื่องจากผ่านมาเกือบๆ เดือนแล้วรายละเอียดในแต่ล่ะช่วงอาจจะตกหล่นไปบ้าง
แต่เอาล่ะถือว่ามาเล่าสู่กันฟัง พร้อมแล้วก็ตามมาเลย!!!!




ขาไปเราเริ่มออกเดินทางจาก กทม มากำแพงเพชร โดยรถส่วนตัว (เพื่อนขับมา)
ใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมง ก็คือหกโมงเช้าถึงที่นั่นก็ประมาณสิบโมงเช้า




หลังจากนั้น ก็ปั่นจักรยานไปเล่นสงกรานต์กันที่กำแพงเพชร เมื่อเปียกปอนกันจนพอใจ
ก็มุ่งตรงไปยังสถานที่ ที่จะทำพิธีมอบหนังสือพระไตรปิฏก




เนื่องจากเป็นอุทยานประวัติศาสตร์จึงมีพื้นที่กว้างมาก เงียบและร่มลื่น




มีการสวดคาถารับศีลรับพรกันสักพัก ผมไม่ใช่คนชอบอยู่นิ่งๆ นานๆ
ก็แว่บไปแว่บมาถ่ายรูปบรรยากาศ




ข้าวของที่เตรียมมาเพื่อถวายในครั้งนี้




พิธีการค่อนข้างเป็นทางการ เข้าใจว่าทางวัดมีการจัดแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว




บุญมากบุญน้อยผมไม่ได้ใส่ใจนัก มีแต่ความขลังของพิธีการที่ผมรู้สึกได้






มีพิธีการยาวไปจนถึงช่วงหกโมงเย็น




เมื่อได้รับพร รับน้ำมนต์ รวมถึงบุญจนเต็มอิ่มแล้ว ฟ้าก็มืดลงพวกเราก็กลับที่พักกัน




ตกดึกเรากลับมายัง Three J Guest House ของคุณลุงชรินทร์
คืนนั้นเราหาซื้อกับข้าวมาทำบาบิคิวกันแบบง่ายๆ




และ... ผมก็จำไม่ได้แล้ว

Blog Comment

บทความที่ได้รับความนิยม