May 7, 2012

เขาค้อ เพชรบูรณ์ สามวันสองคืน

"เมืองมะขามหวาน อุทยานน้ำหนาว

ศรีเทพเมืองเก่า เขาค้ออนุสรณ์ นครพ่อขุนผาเมือง"

นั่นคือนิยามความเป็นเขาค้อซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่นี่

มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจมากมายเลยทีเดียวเชียว




ช่วงปลายปี 2554 ผมและครอบครัววางแผนจะไปเที่ยวเมืองเพชรบูรณ์กัน

และด้วยเป็นการเที่ยวแบบครอบครัวที่ไม่บ่อยนัก จึงต้องจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม

ครอบครัวเรามีกันสี่คน คือ แม่ และน้องชายอีกสองคน และตัวผมเอง

เราต่างอยู่ทำงานและเรียนอยู่กันคนล่ะจังหวัด ในหนึ่งปีจะได้พบปะกันพร้อมหน้า

เพียงสองหรือสามครั้งเท่านั้น




ทริปนี้ผมจองบ้านพักไว้หนึ่งหลัง คือที่ ภูอาบหมอกรีสอร์ท

ราคาห้องช่วงนั้น 4,000.- บาทต่อคืน ผมจองไว้สองคืน

คือคืนวันที่ 28 - 29 ธันวาคม 2554 ความจริงหวังไว้จะเอาวันสิ้นปีแต่ก็ไม่ได้ 

แม้ว่าจะจองกันล่วงหน้าเป็นเดือนเลยก็ตาม เพราะช่วงวันนั้นเต็มหมดทุกหลัง




ทริปนี้ค่อนข้างสบาย ไปกันแบบชิวๆ กับรถยนต์ส่วนตัวของที่บ้าน พลขับก็คือน้องชายคนกลาง

ผมขับไม่ได้ก็นั่งคุย นั่งแพลนกิจกรรมไประหว่างทาง

ปล่อยให้น้องชายสองคน สนุกสนานกับการเปิด Google Map ตรงหน้า




เวลาล่วงเลยไป Google Map ก็พาเรามายังทางแยกเพื่อไปจังหวัดเพชรบูรณ์

เบื้องหน้าเรามีทิวเขาอยู่ลิบๆ ใกล้แล้วสินะ




ขับผ่านแยกนั้นมาซักพัก Google Map ที่เราเคยไว้วางใจ ก็ลาจากเราไปซะดื้อๆ

"No Service" คือประโยคสุดท้าย ที่ได้เห็น

เราวิ่งมาตามทางที่แผนที่ได้โหลดไว้ก่อนสัญญาณจะหายไป

มันเป็นทางสายเก่า ที่ไม่มีคนใช้กันแล้ว

อากาศเริ่มเย็น ฟ้าเริ่มอึมครึม จวนจะ ห้าโมงเย็นอยู่แล้วเชียว

หิวเหลือเกิน แต่เราก็ยังอยู่บนถนนแคบๆ และไหล่ทางหายไปบ้าง

เป็นหลุมบ้าง โค้งหัก ศอกบ้าง มันช่างเร้าใจเสียจริง




เรามาทันส่งพระอาทิตย์ลับฟ้า

ตรงนี้เป็นมุมหลังบ้านที่เราจองไว้




รู้สึกโชคดี อย่างน้อยก็ยังเก็บภาพพระอาทิตย์ตกได้ในวันแรก

ทุกคนหลังจากดูตื่นเต้นกับบรรยากาศที่นี่ อากาศไม่ร้อนกำลังสบายๆ

หยิบกล้องที่มีของแต่ล่ะคนออกมาถ่ายวิว เป็นอันที่รู้กันว่าบ้านนี้ชอบถ่ายรูป




นี่แม่ผมเอง แต่งตัวเต็มยศเพื่อมาเที่ยว

ชื่อบ้านที่เราอยู่คือ "บ้านอาบหมอกเก้า"




ลักษณะบ้านที่อยู่จะมีสองชั้น เราอยู่กันชั้นบน ส่วนชั้นล่างก็จะถูกจัดไว้สำหรับคนอื่น

แต่โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ข้างล่าง เพราะเราคงรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวแน่ๆ




หนึ่งทุ่มโดยประมาณ น้องชายคนเล็ก พ่อครัวประจำบ้าน

ก็เตรียมเนื้อที่หมักไว้ และเตรียมไว้อย่างดิบดีจากร้อยเอ็ดมาเริ่มบรรเลงบนกะทะไฟฟ้า

กลิ่นหอม เนื้อนุ่ม ถือว่าคุ้มค่าที่เตรียมมาจากร้อยเอ็ด




อากาศเริ่มเย็น อุณหภูมิลดต่ำ 

อาหารเริ่มหมดไปเรื่อยๆ แต่วิวเบื้องหน้าก็ยังคงมีมนต์เสน่ห์

ท้องเริ่มป่อง หยิบกีตาร์มาเล่น ร้องเพลง Acoustic กันปะสาพี่น้อง

เป็นบรรยากาศดีๆ ที่ยากเกินจะบรรยายให้ผู้อ่านรับรู้ได้หมด




สามทุ่มหน่อยๆ เราก็เริ่มกร่อยๆ กันแล้วเนื่องจากอากาศข้างนอกเย็นมาก

ผมหยิบกล้องออกมาพยายามเก็บภาพ ดาวนับล้านที่ลอยอยู่ด้านบน

พระจันทร์ที่สุกสกาว นวลสวยมากๆ แต่ฝีมือผมไม่เก่งพอจะเก็บมาให้ทุกท่านได้เห็น

ก็จินตนาการตามกันตามมีตามเกิดนะครับ หุหุ




ราวตีห้าของอีกวันด้วยความแปลกที่ผมตื่นขึ้นมา

เหลียวมองไปยังกระจกของตัวบ้าน

ภาพตรงหน้าคล้ายความฝัน ทะเลหมอกอยู่ริมระเบียงเรานี่เอง

ภาพนี้ผมถ่ายจาก iPad 2 เนื่องจาก DSLR ที่มี สิ้นชีพหมดพลังงานไปซะแล้ว




ด้วยความเพลีย และคงถ่ายรูปในที่มืดๆ แบบนี้ให้สวยคงยาก

หลับไปอีกตื่น มาพร้อมความสดชื่น 







หมอกที่เห็นตอนตีห้า ก็เหลืออย่างที่เห็น

หายไปเยอะเลย คงเพราะลมเริ่มพัดหมอกหายไป




เป็นความรู้สึกที่ดีที่ไม่ต้องขวนขวายตื่นแต่เช้า เพื่อเดินทางไปดูทะเลหมอกที่อื่น




เพราะนี่มันคือดูกันที่ระเบียงบ้านเลย สบายมาก ไม่ลำบากสำหรับผู้สูงอายุด้วย






ฟ้าสางเต็มที่ เราไปทานอาหารมื้อเช้าจากที่รีสอร์ทกัน

เป็นข้าวต้ม ตักได้ไม่อั้น 




ประมาณ เก้านาฬิกา หมอกก็ค่อยๆ จางหายไป






ต่อมาจะเป็นวิว รอบๆ รีสอร์ท ช่วงเช้าจะมีชาวเขานำพวกหมวกไหมพรมมาขาย




ตรงนี้เป็นจุดบริการ สำหรับอาหาร และอื่นๆ ของทางรีสอร์ท




ทั้งนี้มีจุดบริการกางเต๊นท์ ให้ด้วย




โซนของที่พัก จะแบ่งเป็นสามชั้น เป็นขั้นบันได




เหลียวกลับไปมองทะเลหมอก... ณ ตอน สิบนาฬิกา ก็หายหมดล่ะ




ล้อหมุนอีกครั้ง ตอนนี้เรามาอยู่กันที่ พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก






ไหว้พระร่วมกันซะหน่อย ก่อนจะไปยังจุดหมายต่อไป




บริเวณด้านหน้าพระบรมธาตุ




จุดต่อมาคืออุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง




ไม่มีจุดถ่ายรูปมากนัก เพราะเป็นจุดสำหรับกางเต๊นท์รับอากาศหนาวมากกว่า




จุดหมายของเรา เข้าลึกเข้าไปอีกจุด คือ แก่งวังน้ำเย็น และทุ่งนางพญา




จวนเจียนจะเที่ยง เราก็ถึง แก่งวังน้ำเย็น

เงียบเหงา มีเพียงพวกเรา สี่คน

แต่บรรยากาศค่อนข้างดี














ขับรถจาก ทุ่งแสลงหลวง มุ่งตรงมายัง แก่งวังน้ำเย็น

ใช้เวลาราวๆ ยี่สิบนาทีได้ ถ่ายรูปให้หายเหนื่อยกันก่อน




หลังกลับจากแก่งวังน้ำเย็น ก็แวะถ่ายวิวโดยรอบ 

อย่างเช่น ศาลาดุสิตา




ถึงแล้วทุ่งนางพญา สวยนะ แต่ถ่ายได้ไม่ดีนัก




ถ่ายกับป้าย ทุ่งนางพญา





แต่บ้านเรา... อาจจะลีลาเยอะไปนิด




ปิดท้าย




แน่นอน เราจะไม่ทิ้งสิ่งใดไว้นอกจากรอยเท้า และเก็บกลับไปก็เพียงภาพถ่าย

ขับรถกลับออกมาก็บ่ายกว่าๆ แล้ว หิวมากมาย




และหนทางคดเคี้ยว ก็นำเรามายังจุดชมวิว ที่พลาดแทบไม่ได้




ให้ทายในใจ ว่านี่คือที่ไหน




มีกาแฟ ให้ดื่มด้วย รสชาติค่อนข้างโอเค








จัดพื้นที่ไว้สวยมาก มีจุดถ่ายรูปเยอะแยะไปหมด




เฉลยครับ จุดชมวิวจากทางร้านกาแฟ "แทนรัก ทะเลหมอก" นั่นเอง :)




เวลาล่วงเลย กลับมานอนพัก ตื่นมาอีกทีก็จวนมืด

ขอเก็บบรรยากาศตะวันลับฟ้าในเย็นสุดท้ายสำหรับที่นี่






บ๊ายบาย ดวงอาทิตย์




วิว รอบๆ เป็นรีสอร์ทข้างๆ 










ส่วนนี่เป็นบ้านหลังที่เราอยู่

ลากันไปก่อนสำหรับทริปนี้

ไว้ตามมาอ่าน และติดตามสำหรับทริปที่จะเอามาลงนะคร้าบ

2 comments:

  1. ภาพสวยดี บรรยากาศเยี่ยม
    มีความสุขที่สุด
    พาไปเที่ยว อีกหน่อย ที่ไหนก็ได้

    ReplyDelete
  2. สนุกดีนะ หาเงินซื้อที่ไว้ทำบ้านตากอากาศ :D

    ReplyDelete

Blog Comment

บทความที่ได้รับความนิยม